เขียนโดย
Prachoom
on
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ชาวสวนลำไยขาดทุนโค่นต้นขาย-เผาถ่านแทน |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 24 สิงหาคม 2552 16:05 น. |
|
น่าน – ชาวสวนลำไยน่านขาดทุนยับ โค่นต้นขายนำไปเผาถ่าน หลังราคาตกต่ำไม่คุ้มทุน พ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ นายเคน ยศจันโท ชาวสวนลำไย หมู่ 8 ต.กองควาย อ.เมือง จ.น่าน เปิดเผยว่า ในปีนี้ขายผลผลิตลำไยทั้งหมดได้เงินประมาณ 8,000 บาท ขณะที่ต้นทุนค่าปุ๋ยและค่ายาบำรุงรักษากว่า 3 หมื่นกว่าบาทจึงตัดสินใจตัดต้นลำไยที่มีอยู่ทั้งหมด เพราะปลูกไว้ก็ไม่คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุน โดยตัดขายให้กับพ่อค้านำไปเผาถ่านในราคาลำรถปิคอัพละ 1 พันบาท ซึ่งถ้าขายทั้งหมดนี้ก็น่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีชาวสวนลำไยอีกหลายรายในพื้นที่อำเภอเมืองน่าน ที่กำลังจะตัดสินใจตัดโค่นต้นลำไยนำไปเผาเป็นถ่านขายอีกหลายราย เนื่องจากราคาขายผลผลิตไม่คุ้มทุนพร้อมกับวอนให้ภาครัฐช่วยเหลือชาวสวนลำไยอย่างจริงจัง สำหรับการแก้ปัญหา ภาครัฐควรบริหารจัดการด้านการตลาดภายในประเทศ ด้วยการหาตลาดระบายสินค้าเช่น ส่งลำไยไปขายทั่วประเทศ หรือแลกเปลี่ยนผลไม้ชนิดอื่น เชื่อว่า น่าจะช่วยเหลือชาวสวนได้บ้าง เรียนพี่น้องเกษตรกร/ชาวนาและสมัชชาคนจนบนเขื่อนราษีไศลที่นับถือ. ผมอ่านข่าวนี้จากหนังสือพิมพ์ เอ.เอส.ที.วี.ผู้จัดการรายวัน ออนไลน์วันนี้วันอังคารที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ แล้วเกิดความคิดว่า ทำไม? เกษตรกรชาวสวนลำใย จึงไม่น้อมนำพระราช ดำริ เกษตร "ทฤษฎีใหม่" มาปรับใช้เพื่อการดำรงค์ชีพ แบบ"เศรษฐกิจพอ เพียง" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชึ้แนะให้พวกเรา ช่วยตัวเอง/พึ่ง ตนเอง ด้วยการทำการเกษตรดังกล่าวข้างต้น. จึงเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า ทำไม?...ทำไม?....พวกเราจึงไม่ทำกันเล่า? ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชไร่ เชิงเดี่ยว เช่น ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ไร่ข้าวโพด ไร่ละหุ่ง ฯลฯ สาเหตุน่า จะมาจาก.- ๑.) ไม่มีความรู้เรื่องการทำการเกษตร "ทฤษฎีใหม่" และปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" หรือ ๒.) ไม่มีเงินในการลงทุนขุดสระเก็บกักน้ำ/หรือไม่แน่ใจว่าสระที่ขุดใน พื้นที่ของตนจะเก็บกักน้ำได้หรือไม่? ๓.) ไม่มีความรู้ในการทำนาไร่ เพียงมีน้ำคอยหล่อเลี้ยง ก็สามารถทำ นาไร่ให้ได้ผลผลิตข้าวเปลือกถึง ๒๕๐ - ๓๕๐ กก/ไร่ ขึ้นอยู่กับเมล็ด พันธุ์ของข้าวไร่ที่เกษตรกรนำมาเพาะปลูก. และจะต้องใช้พื้นที่กี่ไร่ ใน การทำนาไร่จึงจะพอเพียงไว้กินได้ตลอดปี เป็นต้น. ผมขออนุญาติตอบปัญหาทั้ง ๓ ข้อดังนี้.- ๑.) เกษตรกร/ชาวนา/ชาวสวน สามารถเข้าไปอ่านแนวพระราชดำริ "ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับน้ำเพื่อการเกษตร" และปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง ได้จากเว็บบล็อก http://msuriyamas.blogspot.com โดยการ คลิกเข้าไปอ่านบทความที่เก่ากว่า/หรือบทความที่ใหม่กว่า/หรือให้ลูก หลานพิมพ์ออกมาให้อ่านก็ได้นะครับ.โดยเฉพาะ ปรัชญา "เศรษฐกิจพอ เพียง" ต้องอ่านหลายๆรอบให้เข้าใจให้ได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสั่งสอนให้เราทำการเกษตรอย่างไร และดำรงค์ชีพอย่างไร? แล้วลง มือปฏิบัติทันทีนะครับ. ๒.) ไม่มีเงินในการลงทุนขุดสระ ข้อนี้ถ้าพี่น้องเข้าใจในปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" ก็จะเข้าใจได้ด้วยตนเองว่า ต้องค่อยๆทำตามกำลัง ของตนเอง เช่นลงมือขุดสระด้วยตัวของเราเอง/หรือ จ้างเขาขุดให้พอ เพียงกับการทำนาไร่เพื่อให้ได้ข้าวพออยู่พอกินเสียก่อน แล้วจึงค่อยขยาย สระในภาบหลัง เช่นที่ผมออกแบบการขุดสระโดยน้มนำพระราชดำริ โครงการแก้มลิงมาประยุกต์ใช้ เพียงแต่ว่า พี่น้องเกษตรกรที่เป็นชาวสวน/ ชาวไร่ต้องขุดให้ลึกอย่างน้อย ๔.๐๐ เมตร เช่นจะทำนาไร่ ในพื้นที่ ๓ ไร่ก็ ให้ชุดสระให้เก็บกักน้ำให้ได้อย่างน้อย ๓,๐๐๐ - ๓,๕๐๐ ลบ.ม. เพราะ ทำนา ๓ ไร่ก็มีความต้องการน้ำไว่เสริมจำนวน ๓,๐๐๐ ลบ.ม.เกษตรกร/ ชาวสวน/ชาวไร่ ก็จะมีข้าวไว้กินประมาณ ๗๕๐ กก/ปี - ๑,๐๕๐ กก./ปี เพียงแต่พี่น้องต้องวางแผนเผื่อขยายพื้นที่ขุดสระเอาไว้ก่อนเท่านั้น. และ พื้นที่ทำนาไร่น่า/และแปลงปลูกผักสวนครัวควรจะอยู่ใกล้สระน้ำ และเพื่อ ให้เกิดความมั่นใจว่า สระจะสามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ ผมขอแนะนำให้ไป ดูสระในวัดใกล้บ้าน ก็จะเข้าใจเองครับ. การขุดดินเล้วเหวี่ยงมากองด้าน หลังแล้วทำการปรับระดับ ค่าขุดจะมีราคาถูก โดยเอื้มให้สุดแล้วค่อยๆถอย ขึ้นมา ความกว้างของสระอย่าให้เกินความยาวสุดเอื้อมของบูม/แขนของ รถขุดดิน ค่าขุดดินจำนวน ๓,๕๐๐ ลบ.ม.ๆละ ๖.-บาทเป็นเงินประมาณ ๒๑,๐๐๐.-บาท เท่านั้นเองครับ. ๓.) ข้อนี้ให้กลับไปอ่านคำตอบในข้อ ๑ ก็จะเข้าใจนะครับ. อนึ่งลักษณ์พื้นที่ในการทำสวน ทำไร่ ของเกษตรกร จะใช้พื้นที่ มาก เช่น ๔๐ - ๖๐ ไร่ ผมขอแนะนำให้นำมาวางแผนทำการเกษตร "ทฤษฎีใหม่" ซัก ๒๐ ไร่นะครับ เพราะเป็นพื้นที่ ๆไม่มากและไม่น้อย ครอบครัวขนาดใหญ่/หรือเล็กก็จะสามารถพออยู่พอกินได้ครับ.พื้นที่สวน ที่เหลือ อีก ๒๐ - ๔๐ ไร่ จะคงสวนลำใย/หรือแบ่งมาอีกบางส่วนมาทำไร่ ข้าวโพด/หรือไร่มันสำปะหลังแบบที่เคยทำก็ยังได้นะครับ แต่ถ้าถามผม ผมก็จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนมาเป็นปลูกหญ้ากินนี่เลี้ยงสัตว์จะดีกว่านะครับ เพราะพี่น้องชาวสวน/ชาวไร่จะได้หลุดพ้นจากการกดขี่ราคาผลผลิตเสียที ไงครับ และจะไม่ต้องนำผลผลิตไปชุมนุมและเททิ้งบนถนนให้คนเข้าต่อว่า อีกต่อไปเลยนะครับ ผมยังจำสุภาษิตโบราณที่ว่า "วัวของไคร ย่อมเข้า คอกของคนนั้น" ได้ดีครับ เพียงเราหยุดคิดสักนิดก็จะพบทางออกของชีวิต ได้เป็นอย่างดี เช่น ไครทำชั่วย่อมได้รับกรรมชั่วกลับมา และเราก็จะไม่ทำ ชั่ว ใช่ไม่ใช่?ครับ ก็ในเมื่อเรามีแปลงหญ้าเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว ถ้าเรานำวัว/ ควายมาเลี้ยงโดยใช้วัว/ความพันธุ์พื้นเมือง ก็จะทนทานต่อโรค และเรา เพียงจัดน้ำและ ก้อนแร่ให้เขาเลียกินเท่านั้น เช้าจึ้นเราเปิดคอก เขาก็จะ ออกไปหาหญ้ากินในแปลงที่เราเตรียมไว้ให้ พอตกเย็นเขาก็จะกลับเข้า คอกเขาจะไม่ไปเข้าคอกของคนอื่นเลยครับ และในแต่ละปีเราก็จะได้ลูก เป็นรายได้ประจำปี เลี้ยงมากก็ได้มาก เพียงแต่อย่ามากเกินไป อาหาร/คือ หญ้าในแปลงจะไม่เพียงพอเท่านั้น.นี่เองคือการนำสุภาษิตโบราณมาปรับ ใช้ในการการดำรงค์ชีพแบบพอเพียงไงครับ.ส่วนความรู้ต่างๆเกี่ยวกับการ เกษตรกรรม พี่น้องเข้าไปอ่ายได้จาก "ห้องสมุดความรู้การเกษตร" เพียง พิมพ์คำดังกล่าวในกูเกิลแล้วกดเท่านั้น ก็จะพบ ห้องสมุดความรู้การ เกษตรฯ เลยครับ เข้าไปเลือกอ่านได้ ทั้งการทำนาไร่ การประมง เลี้ยง ปลานิลปลากินพืชเป็นต้นนะครับ. ด้วยจิตรคารวะ ประชุม สุริยามาศ วย.๗๗๗
|
|
Windows Live: Keep your friends up to date with what you do online.
Find out more.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น